การเดินทางไปเที่ยวลาว ครั้งที่สองของฉัน จะมาเล่าถึงประสบการณ์มันส์ ที่ฉันได้ทำกับเพื่อน
การเดินทางในครั้งนี้ เราไม่ได้นัดหมายกันเลย อีกสองคน ก็จะไปลาว แต่อีกสองคน แค่จะนั่งรถไฟไปเขาสวนกลางเฉยๆ บางที โชคชะตา ก็ทำให้พวกเราทั้งสี่ ไปด้วยกันเสมอ
ในวันที่สอบเสร็จ ของการสอบกลางภาค นักศึกษาอย่างพวกเราอยากที่จะออกเดินทาง เพื่อออกไปหาแรงบันดาลใจ สักทีหนึ่ง ... ฉัน กับเพื่อนอีกสามคน จึงวางแผนที่จะออกเดินทาง โดยมีแผนที่ต่างกัน ฉันกับ เม (สาวที่สูงที่สุดในกลุ่ม หุ่นเหมือนนางแบบ) ว่าแค่อยากที่จะนั่งรถไฟ ชมวิว ไปชมสวนสัตว์ ที่เขาสวนกวางที่จังหวัดขอนแก่น แล้วก็กลับมา โดยอยากที่จะประหยัดตังค์ ในกระเป๋า แต่ให้ได้บรรยากาศมากที่สุด กับอีกสองคน นั้นคือ พลอย (เพื่อนสาวที่เล่นกับฉันได้ตลอด) และ บี (สาวที่หุ่นผอมเพรียวที่สุดในกลุ่ม) พวกเธอคิดอยากจะไปเที่ยวลาวกัน และแล้วกลายมาเป็นว่า พวกเราได้นั่งรถไฟกันจริงๆ แต่จุดมุ่งหมาย ได้เปลี่ยนไป พวกเราได้เดินทางกันไปลาวจริงๆ
ทั้งหมดนี้ คือภาพการเดินทางบนรถไฟ(ฟรี)ครั้งแรกของพวกเรา ซึ่งเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากจริงๆ พวกเรานั้งจากสถานีขอนแก่น ไปหนองคาย โดยเราก็ได้พบผู้คนมากมาย ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ที่มีคุณ นายสถานี รึเปล่า หรือเขาเรียกเสมียน ผู้ซึ่งเล่นมุกใส่เรา สร้างความเฮฮา ให้กับพวกเรา แต่ละมุก ทำเอาเรา เป็นเข็มขัดเลย (คาดไม่ถึงนั้นเอง :D ) พอขึ้นรถไฟมา เราก็ได้รู้จักกับ สามี ภรรยา คู่หนึ่ง พวกเขาดูเหมือนใจดีมั่กมาก ด้วยความอัธยาศัยดี เลย เข้าไปถาม ว่ามาจากประเทศอะไร พวกเขาบอกว่า มาจากฝรั่งเศส พวกเขาเล่าให้ฟังถึงการท่องเที่ยวด้วยกันของพวกเขา (พวกเขาจะรู้ไหม ว่าพวกเขาสร้างแรงบันดาลใจเล็กๆที่ผุดขึ้น ของเด็กสาวคนหนึ่ง) พอมาถึงหนองคายก็ต้องกล่าวคำร่ำลากันไป (ก็หวังว่าฉันจะได้พบเขาอีก)... ถึงสถานีหนองคาย ก็ต้องคิดกันแล้วว่าจะไปกันยังไง เริ่มแรกต้องไปทำบัตรผ่านทาง เพราะทั้งสี่คน ไม่มีพาสปอร์ตกัน (แล้วจะไปยังไง อำเภออยู่ตั้งไกล) ทางเลือกนั้นก็คือ การเหมาสามล้อให้ไปส่งที่อำเภอ แล้วกลับมาส่งที่เขตข้ามแดน อย่างแรกของการเหมา ต้องถามราคาก่อน พอจะไปไหวไหม พร้อมส่งสายตาอันสงสารให้เขาลดราคาให้ และแล้วก็ได้จริงๆ สุดท้ายพวกเราก็ได้เดินทางไปฝั่งลาวโดยสันติภาพ
เมื่อมาถึงเขตลาว ก็ต้องนั่งรถต่อเข้าไปเวียงจันทร์อีก 25 บาท (ต้องเตรียมพร้อมด้วยน่ะ เพราะที่ลาว เขาไม่ใช้เหรียญกัน ถ้าไม่มีก็ รวมกับเพื่อนเอา) บขส. เวียงจันทร์ มากมายไปด้วยนักท่องเที่ยว ผู้บ่าวลาว สาวลาว หลายๆแบบกันไป พวกเราจึงเดินออกมา เพื่อจะหาที่พักราคาถูกๆ และใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่ฮิตของลาว (รึเปล่า) ใกล้กับบริเวณลานน้ำผุ โชคดีที่เจอคนไทยด้วย แนะนำให้เดินไปทางที่มีเกรทเฮ้าส์ถูกๆ ไปเกรทเฮ้าแรกราคา ห้าร้อย นอนได้สองคน แถมมี breakfast ให้ทานด้วย ว่าจะจกตังค์จ่าย Reception กล่าวว่า แต่มันเหลือแค่ห้องเดียวน่ะครับ พวกเราเลยเดินออกมาทันที แล้วเดินเข้าไปถามข้างๆกัน แบบชิดติดกันเลย ราคาแตกต่างกันอย่างกะฟ้าปละเหว (เว่อร์ไปน่ะ) คืนล่ะ สองร้อย นอนได้สองคน ซึ่งมันเลิศมาก สำหรับนักท่องเที่ยวจนๆอย่างพวกเรา ฮ่าๆๆๆ และก็หาที่พักกันได้สักที พักได้ชั่วโมง ก็พากันหาเดิน ทุกซอกทุกมุมของเวียงจันทร์
(ประตูชัย)
(พวกเราโชคดีมาก ได้เจอดาราด้วย พี่นีโน่ ขวัญถุงเงินล้าน แม่หนูดูประจำ >.< )
ว่าจะไปกินเฟอร์ ยามเย็น ร้านอร่อยๆ นั้นก็ปิด ต้องเดินกลับไปริมโขง มันมีตลาดเย็น ติดกับแม่น้ำโขงเลย ทำให้เราได้กินอาหารชื่อดังอีกอย่างหนึ่ง นั้นก็คือ ข้าวจี่ปาเต้ มรดกตกทอดมาจากฝรั่งเศส ซึ่งชิ้นใหญ่มาก ตัดแบ่งกับเพื่อนยังไงก็ยังกินไม่หมด
พออาหารตกถึงท้อง ก็เดินดูของ เสื้อผ้าไป เป็นอาหารหูอาหารตา ... ฉันก็ไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ ติดมือกับเขาหรอก แต่คนที่บอกว่าจะไม่มานี่สิ ได้ซื้อเยอะกว่าเพื่อน อิอิ (ยัยเม นั้นเอง) พอเดินจดสิ้นสุดตลาด ก็ลองเดิน ไปตามทาง ที่ติดกับแม่น้ำโขงนั้น ว่าจะหาผับ หาบาร์นั่ง =_= ก็มีเยอะน่ะ แต่ไม่ใช่แนวสักร้าน เลย หาเดินไปทางลานน้ำผุ จริงไหม ที่เป็นยอดฮิต ของ เวียงจันทร์ พอไปถึง เอ๊ะ ยังไง มีแค่เปิดร้านอาหาร ให้แขกมานั่งทาน และฟังดนตรี ... เอิ่ม ก็น่ะ จึงพากันไปนั่งที่ Scandinavian Bakery (ถามว่าได้กินอาหารที่ลานผุไหมนะเหรอ โห๊ะๆๆๆๆ ใครจะกินเหล่า มันแพงไปน่ะ อาหารแต่ละจานน่ะ)
(บรรยากาศ บริเวณลานน้ำผุ ขอบคุณภาพจาก หนุ่มออสเตรเลียคนหนึ่ง ผู้ซึ่งใจน่ารักมาก)
นั่งไป นั่งมา นมปั่นที่สั่งมาก็ลดลง แถมแบตโทรศัพท์ที่พอจะโพสรูปให้คนอื่นได้อิจฉาก็หมดอีก จึงชวนกันเดินต่อ เดินทางโน้น เข้าทางนี้ ออกทางนั้น ถามทางไป ที่ไหนชื่อดังของเวียงจันทร์ ไปหมด ... จนพอจะเดาออกว่า ย่านไหนเป็นของคนมีตังค์ไปพัง ส่วนย่านไหน นักท่องเที่ยวอย่างฉันไปพัก ฮ่าๆๆๆ :D พอพากันเดินเหนื่อยกันแล้ว จึงชวนกันกลับที่พัก ... โชคดีที่เราได้นั่งคุยกับคนดูแลเกรทเฮ้าส์ และขอตั้งชื่อเกรทเฮ้าที่นี่ว่า เกรทเฮ้าส์หรรษา เพราะอะไรนะเหรอ (นึกถึงก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้) จะเล่าให้ฟัง ฟังดีๆน่ะ เราได้รู้จักกับพี่ปุ๊กกี้ หน่มลาวที่แสนน่ารัก พี่แกเป็นผู้ดูแลเกรทเฮ้าส์ตอนกลางคืน อีกคนก็พี่บุญน้อย หนุ่มลาวอีกคนที่มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ปุ๊กกี้ ทั้งสองเป็นคนใจดีมาก เฮฮากับพวกเรา ถามหยอกล้อเป็นกันเอง นั่งพูดคุยกันสักครู่ หนุ่มสูงใหญ่ ยักษ์เลยแหละ เดินลงมา ซื้อของ ได้เห็นกระเป๋าของสาวพลอยของเรา FC Bayern ที่เธอรักนัก รักหนา ว่าเขาก็ชอบด้วยเหมือนกัน พิเศษกว่านั้น เขาเป็นหนุ่มบาเยิร์น อุอิ อุอิ ความดีใจของสาวพลอย ของเราก็เกิดขึ้น เหมือนไฝ่ฝันมานาน ฮ่าๆๆๆ (นางเพ้อได้เป็นอาทิตย์) ชื่อของเขาคนนี้ คือ อเล็ก เขาเป็นกันเองมาก แถมยังใจดี ใส่ชุดประจำบาวาเรีย มาให้ดูอีก :O ของจริง หนังแท้เลยน่ะนั้น
(นั่งรอพลอย เหนื่อย ดูโทรทัศน์ เพลงเพาะดี)
(อเล็ก กับชุดประจำท้องถิ่น)
(สี่สาว กับหนุ่มบาวาเรีย)
(พี่บุญน้อย กับกับพี่ปุ๊กกี้ และก็อเล็ก)
นั่งไป นั่งมา ก็ได้รู้จักกับคุณโกจิ หนุ่มญี่ปุ่น ที่พูดได้ทั้งไทย ลาว ผสมกัน ต้องตั้งใจฟังให้ดี แต่เอ๊ะ ตั้งใจยังไงก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง เราต้องช่วยกันแปล ฮ่าๆๆๆ เขาเป็นคนใจดีมากกกกกก ซื้อโค๊ก กับนมเลี้ยงพวกเราอีก >.< เห็นพี่ปุ๊กกี้เล่าให้ฟังว่า แกมาอยู่ได้หลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าทำงานอะไร แต่มีตังค์ใช้ เยอะแยะ แต่ยังไงก็ ขอบคุณมั่กมากน่ะคร่า ... และเรื่องตื่นเต้นก็เกิดขึ้น เมื่อหนุ่มผมฟู แบกกระเป๋าพะรุงพะรัง เดินเข้ามาขอความช่วยเหลือ ในเกรทเฮ้าส์ของเรา หน้าตาซีเรียส ตื่นตระหนก มาเล่าให้ฟังว่า พี่แกนั่งรถตุ๊กๆ มา ว่าจะไปหาเพื่อน แต่แล้วเกิดเรื่องขึ้นซึ่งคนขับรถไปอะไรก็ไม่รู้กัน =_= ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามใครก็ไม่แน่ใจ ฟังหนุ่มนี้พูด ก็ไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่า พวกเขาด่ากัน ก็พอ เออ ... เข้าเรื่องต่อ ถามไปถามมา พ่อหนุ่มนี้ชื่อ ดอน เป็นหนุ่มแคนาดา ทำงานเป็นนักขุดแร่ เคยมาอยู่เมืองไทยที่ระนอง แล้วกำลังเรียนภาษาลาว อยากได้งานที่นี่ คุยกันไป คุยกันมา สาวไทยอย่างเราก็เห็นว่าเพิ่นหิว แถมเดินทางมาไกล เดินขึ้นไปเอาขนมมาให้กิน (ช่างเป็นสาวไทย ใจงามเสียจริง เหอๆๆๆ) กินแล้ว ยังมาหาว่าเรา เหมือนสาวอินเดียอีกแหนะ ปัดโธ่ :/ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ จนมาถึงตีสอง คงไม่มีแรงที่จะนั่งคุยต่อแล้วล่ะ ฉันเหนื่อยแล้ว เลยแยกย้ายกันไปหลับ ไปนอน แต่เอ๊ะ มีปากคนอยากอยู่ต่อน่ะ ฮ่าๆๆ กำลังคุยกันถูกคอเชียว อิอิ ไม่บอกหรอกว่าใคร... ดอนก็แบกกระเป๋า เดินไปหาโรงแรมที่เพื่อนอยู่ต่อไป ส่วนพวกเราก็แยกย้ายขึ้นไปนอน ....
เช้าวันต่อมา พวกเราตื่นประมาณสี่โมง เกือบๆห้าโมง ต้องรีบลงมาเช็คเอ๊าท์ ปัญหามันก็มีอยู่ว่า เสื้อผ้าตัวเก่า =o= ไม่ได้เอามาเปลี่ยนสักชุดเลย เหม็นเน่ากันมาก แต่ละคน ยกเว้น ยัยเมย์ ผู้ซึ่งได้ชุดใหม่ และกระเป่าใหม่ ส่วนสาวพลอยของเราก็ยังอาลัย อาวร บางคน ฮ่าๆๆๆ แต่โชคเข้าข้างเธอ เธอได้พบกับเขาอีกครั้ง แถมยังชวนกันไปกินข้าวเช้าอีก กิกิ และจากนั้นเราก็ได้รู้จัก โอลิเว่อร์ คือแบบ ทั้งสองสูงไม่ต่างกันเลย แต่โอลิเว่อร์ จะทวมกว่า เท่านั้นเอง พวกเขาเป็นนักเดินทาง หยุดงาน เพื่อจะมาเที่ยวเอเชียให้ทุกประเทศก่อน ถ้าอยากรู้รายละเอียด ต้องถาม แม่พลอย อิอิ เอาเป็นว่ารู้แค่นี้ก่อนอ่าน่ะ
(เพื่อนใหม่ จากการเดินทาง)
และแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเรา พวกเราเดินทางไป บขส. เวียงจันทร์ เพื่อขึ้นรถบัสกับไปยังชายแดน โดยมีสองหนุ่มเดินมาส่งตลอดทาง ร่ำลากัน ด้วยการกอด เอ่ยคำร่ำลา พลอยของเราก็ได้ให้โปสการ์ดจริงๆ แล้วรถก็เดินทางออก ....... กลับสู่แดนไทย
พอมาถึงแดนไทยแล้วนั้น พวกเราก็ต้องเหมารถ ไปสถานีรถไฟหนองคายอีก ก็ต้องขอบคุณคุณลุงรถตู้ ผู้ซึ่งรถค่าเดินทางให้เรา ถามได้นั่งแบบ VIP รถตู้ตั้งยาว แต่นั่งกันสี่คน โฮ๊ะๆๆๆ :D โชคดีที่ตั๋วฟรี รถไฟยังไม่หมด แต่ต้องรอรถหกโมงเย็น คงต้องไปอะไรกินกันก่อนอ่าน่ะ ข้างๆกันนั้นมีตลาดรถไฟ ราคาอาหารของไทย แตกต่างจากราคาอาหารที่ลาวมาก แถมอร่อยอีกด้วย ... เดินไป เดินมา สังเกตุผู้คนรอบข้าง เอ๊ะ ทำไมพวกเขามองมาที่กลุ่มเรา เอ๊ะ เขามองขายัยพลอยเกือบทุกคน อิคนอยู่ข้างหลังนาง อดหัวเราะไม่ได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ ฮ่าๆๆ
คำตอบก็อยู่ที่ขาของนาง ถุงน่องที่นางใส่ นางบอกว่า ที่ไทยไม่มีขาย เพราะเพื่อนซื้อมาฝากจากจีน ก็น่ะ ถ้าไทยมีขาย เขาคงไม่มองแต่ขานางหรอก ฮ่าๆๆๆๆๆ .... พอถึงหกโมงเย็น รถไฟก็มาจอด สาย หนองคาย - กทม. บนรถไฟนั้น เราก็ได้รู้จักกับคุณลุงรถไฟคนหนึ่ง ผู้ซึ่งขายของบนรถไฟ แกมีมุกตลกๆ มาเล่นกับกลุ่มพวกเรา จะให้พวกเราซื้อให้ได้ ฮ่าๆๆ แหม่ ราคาลุงคูณสองเลยน่ะ ใครจะอยากซื้อ T^T แต่ชอบคำคมที่แกพูดน่ะ "บุหรีก็มี บุหรี่สูบแล้วเป็นมะเร็ง" มันเป็นเทคนิคการขาย แต่ถ้าหนูเป็นคนสูบ หนูไม่กล้าซื้ออ่ะลุง ฮ่าๆๆๆๆ "คนไทยไม่แล้งน้ำใจ" คำนี้ถึงปากแก แถมติดหูพวกหนูด้วย แต่ลุงไม่เห็นลดราคาให้เลย (บ่นๆๆ ฮ่าๆๆ ถ้าเจอแกอีก จะถ่ายรูปมาให้ดู อิอิ ) แล้วแกก็เดินจากไป แล้วเราก็ต่างเงียบ ฉันรู้ความรู้สึก ว่าทุกคนก็รู้สึกเหมือนกัน ความสนุกใกล้จะหมดแล้วเหรอ ... แล้วพวกเราก็กลับเข้าสู้โลกของพวกเรา สวัสดีเมืองขอนแก่น ประเทศไทย :) อย่างสวัสดิภาพ
บางครั้ง เราเดินทางแบบไม่ต้องกำหนดปลายทางเสียบ้าง
มีความสุขกับระหว่างทาง เราจะได้รู้ว่าระหว่างทางก็สวยงามไม่แพ้ ปลายทางเลย
ขอขอบคุณ ทุกๆคน ที่ผ่านเข้ามา ทั้งที่รู้จัก หรือไม่รู้จัก ทั้งที่ทักทาย หรือไม่ทักทาย ขอบคุณการเดินทางที่แสนพิเศษ พลอย เม และบี ถ้าไม่มีพวกเธอ คงไม่สนุกเลย...
และขอบคุณทุกคนที่อ่านบล็อกของฉัน มันเป็นบล็อกแรกในชีวิต ชอบ ไม่ชอบยังไง บอกได้ แต่อย่าด่าก็พอ อ่าน่ะ ^^
แล้วพบกันไป ทริปหน้า จะพาไปไหน ติดตามกันน่ะคร่า
Comments
Post a Comment